03 มิถุนายน 2548

ภาษีกับตัวแทนประกันชีวิต

บุคคลที่ประกอบอาชีพ เป็นตัวแทนประกันชีวิตของบริษัทประกันชีวิต และได้รับเงินได้จากค่าตอบแทนในการเรียกเก็บเบี้ยประกันชีวิตจากผู้เอาประกันนั้นประมวลรัษฎากร
กำหนดให้เงินได้จากค่าตอบแทนที่ตัวแทนประกันชีวิตได้รับ เป็นเงินได้จะต้องคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาโดยให้หักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาเพียงอย่างเดียว คือ ในอัตราร้อยละ 40 แต่ไม่เกิน 60,000 บาท เช่นเดียวกับเงินได้ประเภทเงินเดือนหลังจากหักค่าใช้จ่ายตามอัตรานี้จากเงินได้แล้วจึงนำเงินได้ที่เหลือไปหักค่าลดหย่อนหรือนำไปรวมกับเงินได้อื่น และคำนวณภาษีตามปกติต่อไป แต่ในกรณีที่ตัวแทนประกันชีวิต รายใดมีหลักฐานให้เห็นได้อย่างชัดแจ้งว่า ได้มีการประกอบในการเป็นตัวแทนประกันชีวิตในรูปแบบเป็นการประกอบกิจการธุรกิจ และสามารถพิสูจน์รายจ่ายในการประกอบกิจการได้ ซึ่งต้องมีเข้าลักษณะตามคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.115/12545 เรื่องการเสียภาษีเงินได้และภาษีมูลค่าเพิ่ม สำหรับกิจการตัวแทนประกันชีวิต และนายหน้าประกันชีวิต ดังนี้
1. ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนและ2. ได้จัดตั้งสำนักงานในการประกอบกิจการโดยมีอาคารสำนักงานเป็นกรรมสิทธิ์ของตนเองหรือเช่าจากบุคคลอื่นโดยมีหลักฐานการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ สัญญาเช่าสำนักงานและ 3. มีการลงทุนด้วยการจัดหาเครื่องมือเครื่องใช้มีค่าใช้จ่ายสำนักงาน และ 4. มีการจ้างลูกจ้างหรือพนักงานในการประกอบกิจการโดยมีหลักฐานตามสัญญาจ้างแรงงาน หลักฐานการจ่ายเงินเข้ากองทุนประกันสังคมตามกฎหมายว่าด้วยการประกันสังคม และหลักฐานการแสดงการหักภาษี ณ ที่จ่ายและนำส่ง ในกรณีการคำนวณภาษีหัก ณ ที่จ่ายไม่มีภาษีที่ต้องหัก ณ ที่จ่ายและนำส่ง จะต้องมีหลักฐานเกี่ยวกับการยื่นรายการเกี่ยวกับค่าจ้างแรงงานตาม ภ.ง.ด. 1 ก และ 5. มีค่าใช้จ่ายในการประกอบกิจการ เช่น ค่ารับรองหรือค่าบริการเพื่อประโยชน์ในการติดต่อกับลูกค้า และ 6. มีหนังสือรับรองจากบริษัทประกันชีวิตว่าไม่มีการจ่ายเงินชดเชยหรือออกค่าใช้จ่ายแทนให้ เมื่อมีการดำเนินการดังกล่าวค่าตอบแทนที่ตัวแทนหรือนายหน้าหรือหัวหน้าตัวแทนได้รับจากบริษัทประกันชีวิต ในการประกอบกิจการดังกล่าว เข้าลักษณะเป็นเงินได้ตามมาตรา 40 (8) แห่งประมวลรัษฎากร และในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้หักค่าใช้จ่ายได้ตามความจำเป็น และสมควร โดยให้นำมาตรา 65 ทวิ และมาตรา 65 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร มาบังคับใช้โดยอนุโลม ซึ่งก็หมายความว่า หากเข้าองค์ประกอบข้างต้น ตัวแทนประกันชีวิตจะสามารถเลือกต้องคำนวณ ภาษีเงินได้โดยการหักค่าใช้จ่ายจริง โดยและจะต้องมีหลักฐานเอกสารค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวกับการประกอบกิจการและบัญชีรายรับ รายจ่าย เพื่อให้เจ้าพนักงานสรรพากรตรวจสอบอีกด้วย ในกรณีที่ตัวแทนไม่สามารถพิสูจน์รายจ่าย และไม่มีหลักฐานในการประกอบกิจการตามที่กล่าวมาข้างต้น เงินค่าตอบแทนที่ได้รับจากบริษัทประกันชีวิตจะเข้าลักษณะเป็นเงินได้ตามมาตรา 40 (2) แห่งประมวลรัษฎากร และคำนวณเสียภาษีตามวิธีการตามที่กล่าวไว้ข้างต้น หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งจะไม่ถือว่า เป็นเงินได้ตามมาตรา 40(8) และไม่สามารถเลือกคำนวณภาษีโดยการหักค่าใช่จ่ายเป็นการเหมาจ่ายตามพระราชกฤษฎีกาฉบับที่ 11 พ.ศ. 2502 ได้: มีประเด็นสำคัญอีกประการหนึ่ง คือ เงินได้จากค่าตอบแทนของตัวแทนประกันชีวิตที่จะเข้าข่ายถือเป็นเงินได้ ตามมาตรา 40 (8) แห่งประมวลรัษฎากร และมีสิทธิคำนวณภาษีเงินได้ โดยวิธีการหักค่าใช้จ่ายจริงได้นั้น ตัวแทนจะต้องมีหลักฐานและดำเนินการให้ครบข้อกำหนดทั้ง 6 ข้อ ตามคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.115/2545 ข้างต้น
ตัวอย่าง : ตัวแทนประกันชีวิต มีรายได้ค่าตอบแทนจากบริษัทประกันชีวิตปีหนึ่งไม่ถึงเกณฑ์รายรับที่ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่ได้ประกอบกิจการตัวแทนในเชิงธุรกิจ และมีหลักฐานการประกอบกิจการ และค่าใช้จ่ายที่เกิดจากกิจการมาแสดงกรณีนี้กรมสรรพากรได้มีคำวินิจฉัยว่า กรณีนี้ แม้จะมีหลักฐานค่าใช้จ่าย ในการประกอบกิจการตัวแทนประกันชีวิตในเชิงธุรกิจก็ตาม แต่เนื่องจากตัวแทนประกันชีวิตไม่ได้จดทะเบียนเป็นผู้ประกอบการภาษีมูลค่าเพิ่ม ค่าตอบแทนที่ได้รับจึงถือเป็นเงินได้ตามมาตรา 40 (2) แห่งประมวลรัษฎากร และในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้จะต้องหักค่าใช้จ่าย เป็นการเหมาเพียงอย่างเดียวคือ ในอัตราร้อยละ 40 แต่ไม่เกิน 60,000 บาท
จากหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ คอลัมน์ไขปัญหาภาษี วันที่ 3 มิถุนายน 2548

ไม่มีความคิดเห็น:

คลังบทความของบล็อก