01 มิถุนายน 2548

อัตราภาษีได้นิติบุคคลสำหรับฐานกำไรสุทธิ

ในปัจจุบันอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลจากฐานกำไรสุทธิมีหลายอัตราแตกต่างกันไปในแต่ละประเภทกิจการ ไม่ว่าจะเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่เป็นวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ กิจการวิเทศธนกิจ (BIBF) สำนักงานปฏิบัติการภูมิภาค (ROH) กิจการร่วมค้า บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ จึงขอนำมาเป็นประเด็นปุจฉา-วิสัชนา ดังนี้
ปุจฉา อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลจากฐานกำไรสุทธิแบ่งออกเป็นกี่อัตรา อะไรบ้าง วิสัชนา อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลจากฐานกำไรสุทธิแบ่งออกเป็น 4 ฐาน ดังนี้
1.อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลทั่วไป ซึ่งจัดเก็บในอัตราร้อยละ 30 ของกำไรสุทธิ 2.อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับกิจการ SMEs 3.อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับกิจการวิเทศธนกิจ (BIBF) และสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาค (ROH) 4.อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับบริษัทจดทะเบียน 5.อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ได้รับส่งเสริมการลงทุน (BOI)
ปุจฉา อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลทั่วไปที่กำหนดจัดเก็บในอัตรา 30% ของกำไรสุทธิมีหลักเกณฑ์อย่างไร วิสัชนา สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม 2535 เป็นต้นมา ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากรกำหนดให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลโดยทั่วไปต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลจากฐานกำไรสุทธิในอัตรา 30% ของกำไรสุทธิ ซึ่งประกอบด้วย
1.บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย และมีทุนจดทะเบียนชำระแล้ว ณ วันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีเกินกว่า 5 ล้านบาท โดยประกอบกิจการอื่นใดที่มิใช่กิจการวิเทศธนกิจ (BIBF) และกิจการสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาค (ROH : Regional Operating Headquarter)
2.บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ ที่ประกอบกิจการในประเทศไทย โดยประกอบกิจการอื่นใดที่มิใช่กิจการวิเทศธนกิจและกิจการขนส่งระหว่างประเทศ
3.กิจการที่ดำเนินเป็นทางค้าหรือหากำไร โดยรัฐบาลต่างประเทศ องค์การของรัฐบาลต่างประเทศ หรือนิติบุคคลอื่นที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ โดยประกอบกิจการอื่นใดที่มิใช่กิจการวิเทศธนกิจและกิจการขนส่งระหว่างประเทศ
4.กิจการร่วมค้า (Joint Venture) ปุจฉา อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับกิจการ SMEs มีหลักเกณฑ์อย่างไร
วิสัชนา กิจการ SMEs ในที่นี้ได้แก่ บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย และมีทุนจดทะเบียนชำระแล้ว ณ วันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกินกว่าห้าล้านบาท ให้ได้รับการลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับกำไรสุทธิลงคงจัดเก็บในอัตราดังต่อไปนี้
1.สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม 2545 ถึงรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มก่อนวันที่ 1 มกราคม 2547 เป็นไปตามพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 394) พ.ศ.2545 ดังนี้ (1) ร้อยละ 20 ของกำไรสุทธิ เฉพาะส่วนที่ไม่เกินหนึ่งล้านบาท (2) ร้อยละ 25 ของกำไรสุทธิ เฉพาะส่วนที่เกินหนึ่งล้านบาท แต่ไม่เกินสามล้านบาท
2.สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม 2547 เป็นไปตามพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 431) พ.ศ.2548 ดังนี้ (1) ร้อยละ 15 ของกำไรสุทธิ เฉพาะส่วนที่ไม่เกินหนึ่งล้านบาท (2) ร้อยละ 25 ของกำไรสุทธิ เฉพาะส่วนที่เกินหนึ่งล้านบาท แต่ไม่เกินสามล้านบาท
3.สำหรับกำไรสุทธิในส่วนที่เกินสามล้านบาท ให้ยังคงเสียในอัตราร้อยละ 30 ตามปกติ
ปุจฉา สำหรับกิจการวิเทศธนกิจมีการกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลไว้อย่างไร วิสัชนา ให้ลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับกำไรสุทธิส่วนที่ได้จากการประกอบกิจการวิเทศธนกิจ (BIBF : Bangkok International Banking Facility) ตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การประกอบกิจการวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์ ลงวันที่ 16 กันยายน พ.ศ.2535 หรือที่จะมีการแก้ไขเพิ่มเติมต่อไป และตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนด โดยอนุมัติรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและประกาศในราชกิจจานุเบกษา (ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ ...47)) ลงเหลือร้อยละ 10 ของกำไรสุทธิดังกล่าว โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคม 2535 เป็นต้นไป ตามพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 260) พ.ศ.2535
ปุจฉา สำหรับกิจการสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาค มีการกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลไว้อย่างไร
วิสัชนา ได้มีการตราพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 405) พ.ศ.2545 เพื่อลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลจากฐานกำไรสุทธิลงเหลือร้อยละ 10 ให้แก่ "สำนักงานปฏิบัติการภูมิภาค" ทั้งนี้ โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม 2545 เป็นต้นไป
"สำนักงานปฏิบัติการภูมิภาค" หมายความว่า บริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยเพื่อประกอบกิจการให้บริการด้านการบริหารหรือด้านเทคนิค หรือการให้บริการสนับสนุนแก่วิสาหกิจในเครือหรือสาขาของตน ไม่ว่าจะตั้งอยู่ในประเทศไทยหรือในต่างประเทศ โดยการให้บริการสนับสนุนในเรื่อง (1) การบริหารงานทั่วไป การวางแผนทางธุรกิจ และการประสานงานทางธุรกิจ (2) การจัดหาวัตถุดิบและชิ้นส่วน (3) การวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ (4) การสนับสนุนด้านเทคนิค (5) การส่งเสริมด้านการตลาดและการขาย (6) การบริหารด้านงานบุคคลและการฝึกอบรมในภูมิภาค (7) การให้คำปรึกษาด้านการเงิน (8) การวิเคราะห์และวิจัยด้านเศรษฐกิจและการลงทุน (9) การจัดการและควบคุมสินเชื่อ (10) การให้บริการสนับสนุนอื่นๆ ตามที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนด
จากหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ คอลัมน์ไขปัญหาภาษี วันที่ 1 มิถุนายน 2548

ไม่มีความคิดเห็น:

คลังบทความของบล็อก