ในปัจจุบันอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลจากฐานกำไรสุทธิมีหลายอัตราแตกต่างกันไปในแต่ละประเภทกิจการ ไม่ว่าจะเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่เป็นวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ กิจการวิเทศธนกิจ (BIBF) สำนักงานปฏิบัติการภูมิภาค (ROH) กิจการร่วมค้า บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ จึงขอนำมาเป็นประเด็นปุจฉา-วิสัชนา ดังนี้
ปุจฉา อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลจากฐานกำไรสุทธิแบ่งออกเป็นกี่อัตรา อะไรบ้าง วิสัชนา อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลจากฐานกำไรสุทธิแบ่งออกเป็น 4 ฐาน ดังนี้
1.อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลทั่วไป ซึ่งจัดเก็บในอัตราร้อยละ 30 ของกำไรสุทธิ 2.อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับกิจการ SMEs 3.อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับกิจการวิเทศธนกิจ (BIBF) และสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาค (ROH) 4.อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับบริษัทจดทะเบียน 5.อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ได้รับส่งเสริมการลงทุน (BOI)
ปุจฉา อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลทั่วไปที่กำหนดจัดเก็บในอัตรา 30% ของกำไรสุทธิมีหลักเกณฑ์อย่างไร วิสัชนา สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม 2535 เป็นต้นมา ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากรกำหนดให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลโดยทั่วไปต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลจากฐานกำไรสุทธิในอัตรา 30% ของกำไรสุทธิ ซึ่งประกอบด้วย
1.บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย และมีทุนจดทะเบียนชำระแล้ว ณ วันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีเกินกว่า 5 ล้านบาท โดยประกอบกิจการอื่นใดที่มิใช่กิจการวิเทศธนกิจ (BIBF) และกิจการสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาค (ROH : Regional Operating Headquarter)
2.บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ ที่ประกอบกิจการในประเทศไทย โดยประกอบกิจการอื่นใดที่มิใช่กิจการวิเทศธนกิจและกิจการขนส่งระหว่างประเทศ
3.กิจการที่ดำเนินเป็นทางค้าหรือหากำไร โดยรัฐบาลต่างประเทศ องค์การของรัฐบาลต่างประเทศ หรือนิติบุคคลอื่นที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ โดยประกอบกิจการอื่นใดที่มิใช่กิจการวิเทศธนกิจและกิจการขนส่งระหว่างประเทศ
4.กิจการร่วมค้า (Joint Venture) ปุจฉา อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับกิจการ SMEs มีหลักเกณฑ์อย่างไร
วิสัชนา กิจการ SMEs ในที่นี้ได้แก่ บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย และมีทุนจดทะเบียนชำระแล้ว ณ วันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกินกว่าห้าล้านบาท ให้ได้รับการลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับกำไรสุทธิลงคงจัดเก็บในอัตราดังต่อไปนี้
1.สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม 2545 ถึงรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มก่อนวันที่ 1 มกราคม 2547 เป็นไปตามพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 394) พ.ศ.2545 ดังนี้ (1) ร้อยละ 20 ของกำไรสุทธิ เฉพาะส่วนที่ไม่เกินหนึ่งล้านบาท (2) ร้อยละ 25 ของกำไรสุทธิ เฉพาะส่วนที่เกินหนึ่งล้านบาท แต่ไม่เกินสามล้านบาท
2.สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม 2547 เป็นไปตามพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 431) พ.ศ.2548 ดังนี้ (1) ร้อยละ 15 ของกำไรสุทธิ เฉพาะส่วนที่ไม่เกินหนึ่งล้านบาท (2) ร้อยละ 25 ของกำไรสุทธิ เฉพาะส่วนที่เกินหนึ่งล้านบาท แต่ไม่เกินสามล้านบาท
3.สำหรับกำไรสุทธิในส่วนที่เกินสามล้านบาท ให้ยังคงเสียในอัตราร้อยละ 30 ตามปกติ
ปุจฉา สำหรับกิจการวิเทศธนกิจมีการกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลไว้อย่างไร วิสัชนา ให้ลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับกำไรสุทธิส่วนที่ได้จากการประกอบกิจการวิเทศธนกิจ (BIBF : Bangkok International Banking Facility) ตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การประกอบกิจการวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์ ลงวันที่ 16 กันยายน พ.ศ.2535 หรือที่จะมีการแก้ไขเพิ่มเติมต่อไป และตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนด โดยอนุมัติรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและประกาศในราชกิจจานุเบกษา (ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ ...47)) ลงเหลือร้อยละ 10 ของกำไรสุทธิดังกล่าว โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคม 2535 เป็นต้นไป ตามพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 260) พ.ศ.2535
ปุจฉา สำหรับกิจการสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาค มีการกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลไว้อย่างไร
วิสัชนา ได้มีการตราพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 405) พ.ศ.2545 เพื่อลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลจากฐานกำไรสุทธิลงเหลือร้อยละ 10 ให้แก่ "สำนักงานปฏิบัติการภูมิภาค" ทั้งนี้ โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม 2545 เป็นต้นไป
"สำนักงานปฏิบัติการภูมิภาค" หมายความว่า บริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยเพื่อประกอบกิจการให้บริการด้านการบริหารหรือด้านเทคนิค หรือการให้บริการสนับสนุนแก่วิสาหกิจในเครือหรือสาขาของตน ไม่ว่าจะตั้งอยู่ในประเทศไทยหรือในต่างประเทศ โดยการให้บริการสนับสนุนในเรื่อง (1) การบริหารงานทั่วไป การวางแผนทางธุรกิจ และการประสานงานทางธุรกิจ (2) การจัดหาวัตถุดิบและชิ้นส่วน (3) การวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ (4) การสนับสนุนด้านเทคนิค (5) การส่งเสริมด้านการตลาดและการขาย (6) การบริหารด้านงานบุคคลและการฝึกอบรมในภูมิภาค (7) การให้คำปรึกษาด้านการเงิน (8) การวิเคราะห์และวิจัยด้านเศรษฐกิจและการลงทุน (9) การจัดการและควบคุมสินเชื่อ (10) การให้บริการสนับสนุนอื่นๆ ตามที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนด
บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ กิจการวิเทศธนกิจ (BIBF) สำนักงานปฏิบัติการภูมิภาค (ROH) กิจการร่วมค้า บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ จึงขอนำมาเป็นประเด็นปุจฉา-วิสัชนา ดังนี้
ปุจฉา อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลจากฐานกำไรสุทธิแบ่งออกเป็นกี่อัตรา อะไรบ้าง วิสัชนา อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลจากฐานกำไรสุทธิแบ่งออกเป็น 4 ฐาน ดังนี้
1.อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลทั่วไป ซึ่งจัดเก็บในอัตราร้อยละ 30 ของกำไรสุทธิ 2.อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับกิจการ SMEs 3.อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับกิจการวิเทศธนกิจ (BIBF) และสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาค (ROH) 4.อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับบริษัทจดทะเบียน 5.อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ได้รับส่งเสริมการลงทุน (BOI)
ปุจฉา อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลทั่วไปที่กำหนดจัดเก็บในอัตรา 30% ของกำไรสุทธิมีหลักเกณฑ์อย่างไร วิสัชนา สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม 2535 เป็นต้นมา ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากรกำหนดให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลโดยทั่วไปต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลจากฐานกำไรสุทธิในอัตรา 30% ของกำไรสุทธิ ซึ่งประกอบด้วย
1.บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย และมีทุนจดทะเบียนชำระแล้ว ณ วันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีเกินกว่า 5 ล้านบาท โดยประกอบกิจการอื่นใดที่มิใช่กิจการวิเทศธนกิจ (BIBF) และกิจการสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาค (ROH : Regional Operating Headquarter)
2.บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ ที่ประกอบกิจการในประเทศไทย โดยประกอบกิจการอื่นใดที่มิใช่กิจการวิเทศธนกิจและกิจการขนส่งระหว่างประเทศ
3.กิจการที่ดำเนินเป็นทางค้าหรือหากำไร โดยรัฐบาลต่างประเทศ องค์การของรัฐบาลต่างประเทศ หรือนิติบุคคลอื่นที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ โดยประกอบกิจการอื่นใดที่มิใช่กิจการวิเทศธนกิจและกิจการขนส่งระหว่างประเทศ
4.กิจการร่วมค้า (Joint Venture) ปุจฉา อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับกิจการ SMEs มีหลักเกณฑ์อย่างไร
วิสัชนา กิจการ SMEs ในที่นี้ได้แก่ บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย และมีทุนจดทะเบียนชำระแล้ว ณ วันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกินกว่าห้าล้านบาท ให้ได้รับการลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับกำไรสุทธิลงคงจัดเก็บในอัตราดังต่อไปนี้
1.สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม 2545 ถึงรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มก่อนวันที่ 1 มกราคม 2547 เป็นไปตามพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 394) พ.ศ.2545 ดังนี้ (1) ร้อยละ 20 ของกำไรสุทธิ เฉพาะส่วนที่ไม่เกินหนึ่งล้านบาท (2) ร้อยละ 25 ของกำไรสุทธิ เฉพาะส่วนที่เกินหนึ่งล้านบาท แต่ไม่เกินสามล้านบาท
2.สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม 2547 เป็นไปตามพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 431) พ.ศ.2548 ดังนี้ (1) ร้อยละ 15 ของกำไรสุทธิ เฉพาะส่วนที่ไม่เกินหนึ่งล้านบาท (2) ร้อยละ 25 ของกำไรสุทธิ เฉพาะส่วนที่เกินหนึ่งล้านบาท แต่ไม่เกินสามล้านบาท
3.สำหรับกำไรสุทธิในส่วนที่เกินสามล้านบาท ให้ยังคงเสียในอัตราร้อยละ 30 ตามปกติ
ปุจฉา สำหรับกิจการวิเทศธนกิจมีการกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลไว้อย่างไร วิสัชนา ให้ลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับกำไรสุทธิส่วนที่ได้จากการประกอบกิจการวิเทศธนกิจ (BIBF : Bangkok International Banking Facility) ตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การประกอบกิจการวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์ ลงวันที่ 16 กันยายน พ.ศ.2535 หรือที่จะมีการแก้ไขเพิ่มเติมต่อไป และตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนด โดยอนุมัติรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและประกาศในราชกิจจานุเบกษา (ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ ...47)) ลงเหลือร้อยละ 10 ของกำไรสุทธิดังกล่าว โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคม 2535 เป็นต้นไป ตามพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 260) พ.ศ.2535
ปุจฉา สำหรับกิจการสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาค มีการกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลไว้อย่างไร
วิสัชนา ได้มีการตราพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 405) พ.ศ.2545 เพื่อลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลจากฐานกำไรสุทธิลงเหลือร้อยละ 10 ให้แก่ "สำนักงานปฏิบัติการภูมิภาค" ทั้งนี้ โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม 2545 เป็นต้นไป
"สำนักงานปฏิบัติการภูมิภาค" หมายความว่า บริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยเพื่อประกอบกิจการให้บริการด้านการบริหารหรือด้านเทคนิค หรือการให้บริการสนับสนุนแก่วิสาหกิจในเครือหรือสาขาของตน ไม่ว่าจะตั้งอยู่ในประเทศไทยหรือในต่างประเทศ โดยการให้บริการสนับสนุนในเรื่อง (1) การบริหารงานทั่วไป การวางแผนทางธุรกิจ และการประสานงานทางธุรกิจ (2) การจัดหาวัตถุดิบและชิ้นส่วน (3) การวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ (4) การสนับสนุนด้านเทคนิค (5) การส่งเสริมด้านการตลาดและการขาย (6) การบริหารด้านงานบุคคลและการฝึกอบรมในภูมิภาค (7) การให้คำปรึกษาด้านการเงิน (8) การวิเคราะห์และวิจัยด้านเศรษฐกิจและการลงทุน (9) การจัดการและควบคุมสินเชื่อ (10) การให้บริการสนับสนุนอื่นๆ ตามที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนด
จากหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ คอลัมน์ไขปัญหาภาษี วันที่ 1 มิถุนายน 2548
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น