09 กันยายน 2548

ภาษีเงินได้นิติบุคคลครึ่งปี (4)

แม้จะผ่านพ้นช่วงเวลายื่นแบบแสดงรายการภาษีได้เงินนิติบุคคลครึ่งปีตามแบบ ภ.ง.ด.51 แต่ยังมีประเด็นเกี่ยวกับภาษีเงินได้นิติบุคคลครึ่งปีที่น่าสนใจ
จึงนำมาปุจฉา-วิสัชนา ต่อจากสัปดาห์ก่อน ดังนี้
ปุจฉา มีหลักเกณฑ์เกี่ยวกับกรณีประมาณการกำไรสุทธิขาดไปเกินกว่า 25% ของกำไรสุทธิที่ได้จากกิจการ หรือเนื่องจากกิจการที่ได้กระทำในรอบระยะเวลาบัญชีอย่างไร
วิสัชนา หลักเกณฑ์เกี่ยวกับกรณีประมาณการกำไรสุทธิขาดไปเกินกว่า 25% ของกำไรสุทธิที่ได้จากกิจการ หรือเนื่องจากกิจการที่ได้กระทำในรอบระยะเวลาบัญชี พอสรุปได้ดังนี้
ให้เปรียบเทียบกำไรสุทธิจากการดำเนินกิจการในรอบระยะเวลาบัญชี ตามแบบ ภ.ง.ด.50 ที่จะนำมาเปรียบเทียบกับประมาณการกำไรสุทธิ ตามแบบ ภ.ง.ด.51 เพื่อคำนวณหาอัตราร้อยละของจำนวนประมาณการกำไรสุทธิขาดไปเกินกว่าร้อยละ 25 ตามมาตรา 67 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร
กำไรสุทธิจากการดำเนินกิจการในรอบระยะเวลาบัญชี ตามแบบ ภ.ง.ด.50 หมายถึง กำไรสุทธิทางภาษีอากร (Taxable Net Profit) ได้ปรับปรุงให้เป็นไปตามเงื่อนไขแห่งประมวลรัษฎากรแล้ว มิใช่กำไรสุทธิทางการเงินตามงบกำไรขาดทุน ตามมาตรฐานการบัญชีของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล
สมมติบริษัทแห่งหนึ่งยื่นแบบ ภ.ง.ด.51 แสดงประมาณการกำไรสุทธิไว้เป็นเงิน 700,000 บาท เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลไว้เป็นเงิน 105,000 บาท เมื่อสิ้นรอบระยะเวลาบัญชี ปรากฏว่าบริษัทมีกำไรสุทธิทางภาษีอากรตามแบบ ภ.ง.ด.50 เป็นเงิน 1,000,000 บาท หากบริษัทประมาณการกำไรสุทธิขาดไป คิดเป็น (300,000 x 100 หาร 1,000,000) = 30.0% โดยไม่มีเหตุอันสมควร บริษัทต้องรับผิดเสียเงินเพิ่มในอัตรา 20% ของเงินภาษีที่ชำระไว้ขาด ตามมาตรา 67 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร ดังนี้
เนื่องจากบริษัทประมาณการกำไรสุทธิขาดไปเกินกว่า 25% ของกำไรสุทธิที่ได้จากกิจการ หรือเนื่องจากกิจการที่ได้กระทำตามแบบ ภ.ง.ด.50 ของรอบระยะเวลาบัญชี โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร จึงต้องรับผิดเสียเงินเพิ่มในอัตรา 20% ของจำนวนภาษีเงินได้ที่ชำระไว้ขาดไป
จำนวนภาษีเงินได้ที่ชำระขาดไปคำนวณได้จาก นำกึ่งหนึ่งของภาษีเงินได้นิติบุคคล ที่ต้องชำระตามแบบ ภ.ง.ด.50 คือ 150,000.00 บาท หัก ด้วยภาษีเงินได้นิติบุคคลที่คำนวณได้ตามแบบ ภ.ง.ด.51 105,000.00 บาท ได้เป็นเงิน 45,000.00 บาท ดังนั้น เงินเพิ่มตามมาตรา 67 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร คิดเป็นเงิน (45,000 x 20%) 9,000.00 บาท
อย่างไรก็ตาม เงินเพิ่มตามมาตรา 67 ตรี แห่งประมวลรัษฎากรดังกล่าว เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจสั่งลดลงได้ตามคำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป.81/2542 โดยเสียในอัตรา 1.5% ต่อเดือน หรือเศษของเดือนของเงินภาษีที่ต้องชำระ แต่ไม่เกินเงินเพิ่มตามกฎหมาย (20% ของจำนวนภาษีที่ชำระขาดไป)
อนึ่ง ในการคิดเงินเพิ่มตามมาตรา 67 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร กรณีประมาณการกำไรสุทธิขาดไปเกินกว่า 25% ของกำไรสุทธิตามแบบ ภ.ง.ด.50 หากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล มีภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายตามแบบ ภ.ง.ด.51) มาหัก บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ยังคงต้องรับผิดเสียเงินเพิ่มตามมาตรา 67 ตรี แห่งประมวลรัษฎากรต่อไป เนื่องจากความผิดดังกล่าวเป็นความผิดสำเร็จ ซึ่งไม่คำนึงว่าผู้เสียภาษีได้ชำระภาษีเงินได้นิติบุคคลไปแล้วหรือไม่ประการใด นอกจากนี้ กรณีประมาณการกำไรสุทธิตามแบบ ภ.ง.ด.51 เกินไปกว่า 25% ของกำไรสุทธิตามแบบ ภ.ง.ด.50 ไม่มีความผิดแต่อย่างใด
กรณีมีเจตนาหลีกเลี่ยงภาษีอากร อาจต้องระวังโทษจำคุกตั้งแต่ 3 เดือน ถึง 7 ปี และปรับตั้งแต่ 2,000 บาท ถึง 200,000 บาท ตามมาตรา 37 แห่งประมวลรัษฎากร อีกด้วย
ปุจฉา มีกรณีใดบ้างที่ถือเป็นเหตุอันสมควร แม้จะประมาณการกำไรสุทธิขาดไปเกินกว่าร้อยละ 25 ของกำไรสุทธิ
วิสัชนา กรมสรรพากรได้กำหนดแนวทางในการพิจารณาเกี่ยวกับ "เหตุอันสมควร" ตามมาตรา 67 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร เป็นผลให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้น ไม่ต้องรับผิดเงินเพิ่มตามมาตรา 67 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร สำหรับภาษีเงินได้นิติบุคคลอันเนื่องมาจากการประมาณการขาดไป ดังนี้
1.กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ได้จัดทำประมาณการกำไรสุทธิ และยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีครึ่งปี ไว้ไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่ง ของภาษีเงินได้นิติบุคคล ที่ได้ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ในรอบระยะเวลาบัญชีที่แล้ว ให้ถือว่าเป็นกรณีมีเหตุอันสมควร ตามคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.50/2537 2.กรณีการประกอบกิจการมีเหตุการณ์ดังต่อไปนี้ ให้เจ้าพนักงานประเมินพิจารณาในเบื้องต้นว่า บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นมี "เหตุอันสมควรหรือไม่" ตามหนังสือกรมสรรพากรที่ กค 0814/3893 ลงวันที่ 18 ตุลาคม 2539 (1) กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ประมาณการกำไรสุทธิขาดไปเกินกว่าร้อยละ 25 และปรากฏข้อเท็จจริงว่า บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ได้มีการขายทรัพย์สินที่ใช้ในการประกอบกิจการในรอบระยะเวลาบัญชี 6 เดือนหลังของรอบระยะเวลาบัญชี ให้นำกำไรจากการขายทรัพย์สินดังกล่าว หักออกจากกำไรสุทธิ เพื่อเสียภาษีของรอบระยะเวลาบัญชี หากปรากฏว่ากำไรสุทธิที่เหลือ เป็นผลให้ประมาณกำไรสุทธิที่ยื่นเสียภาษีไว้ขาดไปไม่เกิน 25% ถือว่าได้จัดทำประมาณการไว้โดยมีเหตุอันสมควร (2) กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ที่เริ่มมีรายได้จากการประกอบกิจการในรอบระยะเวลา 6 เดือนหลัง ของรอบระยะเวลาบัญชี ที่เริ่มมีรายได้จากการประกอบกิจการ (รายได้จากการประกอบกิจการไม่รวมถึงการนำเงินไปหาประโยชน์โดยฝากธนาคาร บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ หรือซื้อพันธบัตร หรือหลักทรัพย์ที่ได้รับมาก่อน ไม่ว่าในรอบระยะเวลาบัญชีนี้หรือรอบระยะเวลาบัญชีก่อน) (3) อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลดต่ำลง ทำให้ค่าใช้จ่ายค่าดอกเบี้ยลดต่ำลงด้วย (4) การส่งสินค้าออกมีความไม่แน่นอน ทั้งปริมาณ และราคาสินค้า หรือมีการยกเลิกการควบคุมราคาหรือปริมาณสินค้าส่งออก (5) การรับจ้างที่มีค่าจ้างไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับผู้ว่าจ้าง และความยากง่ายของงานที่ทำ (6) อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเปลี่ยนแปลงอย่างผิดปกติ
จากหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ คอลัมน์ไขปัญหาภาษี วันที่ 9 กันยายน 2548

ไม่มีความคิดเห็น:

คลังบทความของบล็อก