20 กรกฎาคม 2548

การเสียภาษีเงินได้ของมูลนิธิหรือสมาคม

เดิมแม้มูลนิธิหรือสมาคมจะมีสถานภาพเป็นนิติบุคคล แต่ก็ไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้ตามประมวลรัษฎากร เพราะมิใช่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล
ต่อมาตั้งแต่ปีบัญชี 2525 เป็นต้นมา ได้มีการกำหนดให้มูลนิธิหรือสมาคมที่ประกอบกิจการซึ่งมีรายได้เป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ทำให้มูลนิธิหรือสมาคมมีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล จึงขอนำมาเป็นประเด็นปุจฉา-วิสัชนา ดังนี้
ปุจฉา รัฐมีวัตถุประสงค์อย่างไร ในการจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลจากมูลนิธิหรือสมาคม
วิสัชนา สำหรับมูลนิธิหรือสมาคมที่ประกอบกิจการซึ่งมีรายได้ แต่ไม่รวมถึงมูลนิธิหรือสมาคมที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประกาศกำหนดให้เป็นองค์การสาธารณกุศล ตามมาตรา 47 (7) (ข) แห่งประมวลรัษฎากร ถูกกำหนดให้เป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลก็เพื่อที่จะผลักดันให้มูลนิธิหรือสมาคมทั้งหลายให้มีการดำเนินกิจการในทางสาธารณกุศลอย่างแท้จริง เพราะโดยธรรมชาติมูลนิธิหรือสมาคมมิใช่องค์การที่ดำเนินการเพื่อแสวงหาผลกำไร หากแต่ยังอาจมีการดำเนินการในส่วนที่ไม่เป็นไปเพื่อการกุศลสาธารณะ หรือเพื่อประโยชน์ของบุคคลบางกลุ่มเท่านั้น
ปุจฉา หลักการในการจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลจากมูลนิธิหรือสมาคมกำหนดไว้อย่างไร
วิสัชนา หลักการในการจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลจากมูลนิธิหรือสมาคมมีดังนี้
1.ภาษีเงินได้นิติบุคคลที่จัดเก็บจากมูลนิธิหรือสมาคมเป็นภาษีทางตรง ซึ่งกำหนดให้จัดเก็บเป็นรายรอบระยะเวลาบัญชี
2.โดยเหตุที่มูลนิธิหรือสมาคมมิใช่องค์การที่มุ่งดำเนินการเพื่อแสวงหาผลกำไร ดังเช่นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลทั่วไป จึงไม่อาจจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลจากกำไรสุทธิได้ และเพื่ออำนวยให้เกิดความเป็นธรรมจึงกำหนดให้มูลนิธิหรือสมาคมเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลจากยอดรายได้ก่อนหักรายจ่ายใด
3.ในการเสียภาษีอากร มูลนิธิหรือสมาคมมีหน้าที่ต้องปฏิบัติเกี่ยวกับการมีและใช้เลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากร
ปุจฉา มูลนิธิหรือสมาคมในกรณีใดที่มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลจากยอดรายได้ก่อนหักรายจ่ายใดๆ
วิสัชนา มูลนิธิหรือสมาคมที่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ได้แก่ มูลนิธิหรือสมาคมที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย และจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล ประกอบกิจการซึ่งมีรายได้ แต่ไม่รวมถึง มูลนิธิหรือสมาคมที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประกาศกำหนดให้เป็นองค์การสาธารณกุศล ตามมาตรา 47 (7) (ข) สำหรับการคำนวณหักค่าลดหย่อนในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
อนึ่ง สำหรับมูลนิธิหรือสมาคมที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ และเข้ามาประกอบกิจการในประเทศไทย โดยมุ่งในทางการค้าหรือหากำไร มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลจากกำไรสุทธิจากกิจการหรือเนื่องจากกิจการที่กระทำในรอบระยะเวลาบัญชี
ปุจฉา มีหลักเกณฑ์เกี่ยวกับมูลนิธิหรือสมาคมที่จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลอย่างไร
วิสัชนา มูลนิธิหรือสมาคมที่จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์การพิจารณา ประกาศกำหนดองค์การสถานสาธารณกุศล ตามมาตรา 47 (7) (ข) แห่งประมวลรัษฎากร ตามประกาศกระทรวงการคลังว่าด้วยภาษีเงินได้และภาษีการค้า ซึ่งมีหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
1.มูลนิธิที่ประสงค์จะขอให้พิจารณาประกาศเป็นองค์การหรือสถานสาธารณกุศลจะต้องมีฐานะเป็นนิติบุคคล และมีคำขอเป็นลายลักษณ์อักษรยื่นต่อกรมสรรพากรเพื่อพิจารณาเสนอกระทรวงการคลัง
2.วัตถุประสงค์ของมูลนิธิเพื่อการกุศลสาธารณะในประเทศไทยเท่านั้น และรายได้ของมูลนิธิจะต้องมิใช่เป็นการได้มาจากการซื้อขายหรือการให้บริการโดยมีค่าตอบแทนเป็นปกติธุระ เว้นแต่การซื้อขายหรือการให้บริการนั้นเกี่ยวข้องกับการศาสนา การศึกษา การสถานพยาบาล หรือการสังคมสงเคราะห์ และไม่นำรายได้ดังกล่าวไปจ่ายในทางอื่น
3.ชื่อมูลนิธิจะต้องไม่เป็นชื่อการค้า หรือเครื่องหมายการค้า
4.เกี่ยวกับการดำเนินงานของมูลนิธิในช่วง 3 ปีก่อน ตามหลักฐาน งบดุล บัญชีรายได้รายจ่าย ซึ่งมีผู้สอบบัญชีรับรองแล้ว ถ้าปรากฏดังต่อไปนี้จะไม่ได้รับการประกาศ
(1) การดำเนินงานของมูลนิธิไม่ตรงตามวัตถุประสงค์หรือมีการใช้ชื่อมูลนิธิดำเนินงานเพื่อหาประโยชน์ส่วนตัว
(2) รายได้ของมูลนิธิได้นำไปเป็นรายจ่ายเพื่อการกุศลสาธารณะน้อยกว่าร้อยละ 60 ของรายได้ทั้งสิ้นใน 3 รอบระยะเวลาบัญชีที่แล้วมา เว้นแต่ตราสารจัดตั้งระบุว่า ให้นำดอกผลมาเป็นรายได้เท่านั้น หรือให้นำดอกผลมาใช้จ่ายเท่านั้น หรือกรณีมีเหตุจำเป็นต้องเก็บสะสมรายได้เพื่อดำเนินการตามโครงการ ตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธิ
(3) รายจ่ายของมูลนิธิเป็นรายจ่ายเพื่อการกุศลสาธารณะน้อยกว่าร้อยละ 75 ของรายจ่ายทั้งสิ้นในแต่ละรอบระยะเวลาบัญชี และควรกระจายทั่วไปตามวัตถุประสงค์ที่ได้จดแจ้งไว้ และต้องมิใช่เพื่อวัตถุประสงค์ใดวัตถุประสงค์หนึ่งที่จะให้ประโยชน์เฉพาะแก่บุคคล คณะบุคคลหรือหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งเป็นส่วนใหญ่
5.มูลนิธิที่จัดตั้งขึ้นยังไม่ครบ 3 ปี จะไม่พิจารณาประกาศให้
6.องค์การ สถานสาธารณกุศล สถานพยาบาล หรือสถานศึกษาใดที่มิได้มีฐานะเป็นมูลนิธิจะไม่พิจารณาประกาศให้ เว้นแต่ จะมีวัตถุประสงค์และการดำเนินงานเช่นเดียวกับมูลนิธิจะพิจารณาประกาศให้เป็นรายๆ ไป ในหลักเกณฑ์เดียวกันหรือตามที่เห็นสมควร
7.มูลนิธิ องค์การ สถานสาธารณกุศล สถานพยาบาล หรือสถานศึกษาใดที่ไม่เข้าหลักเกณฑ์ ตามข้อ 1 ถึงข้อ 6 จะไม่ประกาศให้ เว้นแต่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจะพิจารณาเห็นสมควร
8.มูลนิธิ องค์การ สถานพยาบาล หรือสถานศึกษา ที่ได้รับการประกาศให้ไปแล้วจะต้องออกใบรับที่ระบุลำดับที่ได้รับการประกาศให้แก่ผู้บริจาค และส่งรายงานการประชุมใหญ่ งบดุล และบัญชีรายได้รายจ่าย พร้อมทั้งรายงานการดำเนินงานของกิจการสำหรับรอบปีบัญชีที่ผ่านไปของผู้รับอนุมัติให้กรมสรรพากรทราบภายใน 150 วัน นับแต่วันสิ้นรอบระยะเวลาบัญชี
จากหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ คอลัมน์ไขปัญหาภาษี วันที่ 20 กรกฎาคม 2548

ไม่มีความคิดเห็น:

คลังบทความของบล็อก