ช่วงเวลาจากนี้ไปจนถึงวันที่ 30 พฤษภาคม 2548 เป็นช่วงเวลาการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคล (Corporate Income Tax)
สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี 2547 จึงขอนำหลักเกณฑ์เกี่ยวกับภาษีเงินได้นิติบุคคลมาเป็นประเด็นปุจฉา-วิสัชนา ดังนี้ปุจฉา หลักการทั่วไปของภาษีเงินได้นิติบุคคล กำหนดไว้อย่างไรวิสัชนา หลักการทั่วไปของภาษีเงินได้นิติบุคคลมีดังนี้
1.โดยทั่วไป ภาษีเงินได้นิติบุคคล จัดเก็บจากกำไรสุทธิที่ได้จากกิจการหรือเนื่องจากกิจการที่ได้กระทำในรอบระยะเวลาบัญชี หรือที่นิยมเรียกกันโดยทั่วไปว่า "กำไรสุทธิทางภาษีอากร" ดังนั้น ในกรณีที่ในรอบระยะเวลาบัญชีใดมีผล "ขาดทุนสุทธิทางภาษีอากร" จึงไม่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล นอกจากนี้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลยังสามารถนำผลขาดทุนสุทธิดังกล่าวไปถือเป็นรายจ่ายในรอบระยะเวลาบัญชีปีถัดไปได้ไม่เกิน 5 ปี ตามมาตรา 65 ตรี (12) และตามมาตรา 65 ตรี (19) แห่งประมวลรัษฎากร ยังบัญญัติห้ามมิให้นำรายจ่ายที่กำหนดจ่ายจากผลกำไรที่ได้เมื่อสิ้นรอบระยะเวลาบัญชีมาถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลด้วย
2.ภาษีเงินได้นิติบุคคล จัดเก็บเป็นรายรอบระยะเวลาบัญชี ในการคำนวณกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิ จึงต้องคำนึงไว้เสมอว่า รายได้และรายจ่ายของรอบระยะเวลาบัญชีใด ต้องถือเป็นรายได้และรายจ่ายของรอบระยะเวลาบัญชีปีนั้นๆ และรายจ่ายต้องเป็นรายจ่ายทั้งสิ้นเกี่ยวกับรายได้ หรือเป็นรายจ่ายที่มีความสัมพันธ์กับรายได้ตามหลักการจับคู่ของรายจ่ายกับรายได้ (Matching Principle) รอบระยะเวลาบัญชีโดยทั่วไปมีกำหนดเวลา 12 เดือน เว้นแต่กรณีเริ่มตั้งกิจการใหม่ หรือได้รับอนุมัติจากอธิบดีกรมสรรพากรให้เปลี่ยนแปลงวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี หรือกรณีเลิกกิจการ ควบกิจการหรือโอนกิจการ รอบระยะเวลาบัญชีอาจมีกำหนดเวลาน้อยกว่า 12 เดือนก็ได้
3.ภาษีเงินได้นิติบุคคล เป็นภาษีทางตรง (Direct Tax) ซึ่งผู้เสียภาษีไม่สามารถผลักภาระภาษีที่ตนได้เสียไปยังบุคคลอื่น ฉะนั้น ตามมาตรา 65 ตรี (6) แห่งประมวลรัษฎากร จึงบัญญัติห้ามมิให้นำค่าภาษีเงินได้นิติบุคคลมาถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรหรือขาดทุนสุทธิ และในกรณีที่ในรอบระยะเวลาบัญชีปีใดมียอดภาษีเงินได้นิติบุคคลหัก ณ ที่จ่าย เกิดกว่าจำนวนภาษีที่ต้องเสีย ให้มีสิทธิขอคืนภายใน 3 ปี นับแต่วันสุดท้ายแห่งปีที่ถูกหักภาษีไว้ ณ ที่จ่าย หรือภายใน 3 ปี นับแต่วันสุดท้ายแห่งกำหนดเวลายื่นแบบแสดงรายการภาษี แล้วแต่กรณี
4.ภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นภาษีอากรประเมิน (Assessment Tax) ซึ่งผู้มีหน้าที่เสียภาษี หรือผู้นำส่งภาษีมีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการประเมินตนเอง ตามแบบที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนด และภายในเวลาที่กฎหมายกำหนดเพื่อแสดงว่า มีรายได้ หรือรายรับ และรายจ่ายหรือเครดิตภาษีเป็นจำนวนเท่าใด และเมื่อได้คำนวณภาษีอากรตามหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และอัตราที่กฎหมายกำหนด แล้วคิดเป็นจำนวนเงินภาษีที่ต้องชำระเป็นจำนวนเท่าใด และเพื่อให้การเสียภาษีอากรประเมินของผู้มีหน้าที่เสียภาษีหรือผู้นำส่งภาษีดังกล่าวมีความถูกต้องครบถ้วน ให้เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจประเมินความถูกต้อง ซึ่งเรียกว่า "การประเมินโดยเจ้าพนักงาน" นอกจากนี้ ในการบริหารจัดเก็บภาษีอากรประเมินยังกำหนดหน้าที่อื่นที่ผู้ต้องเสียภาษีอากรและบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องต้องปฏิบัติการเพิ่มเติม ตลอดจนอำนาจเจ้าพนักงานประเมินกรณีต่างๆ การขอคืนภาษีอากร การอุทธรณ์ และบทกำหนดโทษทางอาญาอีกด้วย
5.หลักการจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคล
(1) สำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย ให้สำนักงานใหญ่นำรายได้จากกิจการหรือเนื่องจากกิจการ ทั้งที่ได้กระทำในประเทศไทย และหรือที่ได้กระทำในต่างประเทศมารวมคำนวณกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามประมวลรัษฎากร ตามหลัก World Wide Income (รายได้ที่เกิดขึ้นทั่วโลก) หรือหลักถิ่นที่อยู่ (Residence Rule)
(2) สำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ ให้นำรายได้เฉพาะที่เกิดจากกิจการหรือเนื่องจากกิจการที่ได้กระทำในประเทศไทยเท่านั้น มารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามประมวลรัษฎากร ตามหลักแหล่งเงินได้ (Source Rule) 6.การจัดเก็บภาษีเงินได้จากฐานกำไรสุทธิตามประมวลรัษฎากร เฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการจัดเก็บจากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย กำหนดจัดเก็บภาษีเงินได้เป็น 2 ระดับ คือ ระดับที่หนึ่ง จัดเก็บจากกำไรสุทธิของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นในอัตราร้อยละ 30 ของกำไรสุทธิ และระดับที่สอง จัดเก็บจากเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไรของผู้ถือหุ้นหรือผู้เป็นหุ้นส่วน โดยถือเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(4)(ข) แห่งประมวลรัษฎากร ดังนั้น ในการจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลจากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้น ตามกฎหมายของต่างประเทศจึงต้องจัดเก็บภาษีเงินได้สองระดับเช่นเดียวกัน คือ ระดับแรก จัดเก็บจากกำไรสุทธิที่ได้จากการประกอบกิจการหรือเนื่องจากการประกอบกิจการในประเทศไทย ในอัตราร้อยละ 30 และระดับที่สองกำหนดจัดเก็บจากการจำหน่ายเงินกำไรไปต่างประเทศ ในอัตราร้อยละ 10 ของเงินกำไรที่จำหน่ายไปต่างประเทศอีกระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม การจัดเก็บภาษีจากฐานกำไรสุทธิดังกล่าวมีความซ้ำซ้อน ในการจัดเก็บภาษีอยู่บ้าง ดังนั้น จึงกำหนดให้มีการขจัดความซ้ำซ้อน โดยการให้เครดิตภาษีในอัตราเท่ากับ จำนวนอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นต้องเสีย หารด้วยผลต่างของจำนวนหนึ่งร้อยลบด้วยอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลนั้น ทั้งนี้ สำหรับผู้ที่ได้รับเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไรที่เป็นผู้มีภูมิลำเนาในไทย หรือเป็นผู้อยู่ในไทยถึง 180 วันในปีภาษี โดยให้นำเครดิตภาษีที่ได้รับไปถือเป็นเงินได้พึงประเมินของผู้มีเงินได้ด้วย ตามมาตรา 47 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร และสำหรับความซ้ำซ้อนในการจัดเก็บภาษีจากกำไรสุทธิของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ กระทำโดยการทำอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดความซ้ำซ้อนในการจัดเก็บภาษีระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลของต่างประเทศนั้นๆ
สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี 2547 จึงขอนำหลักเกณฑ์เกี่ยวกับภาษีเงินได้นิติบุคคลมาเป็นประเด็นปุจฉา-วิสัชนา ดังนี้ปุจฉา หลักการทั่วไปของภาษีเงินได้นิติบุคคล กำหนดไว้อย่างไรวิสัชนา หลักการทั่วไปของภาษีเงินได้นิติบุคคลมีดังนี้
1.โดยทั่วไป ภาษีเงินได้นิติบุคคล จัดเก็บจากกำไรสุทธิที่ได้จากกิจการหรือเนื่องจากกิจการที่ได้กระทำในรอบระยะเวลาบัญชี หรือที่นิยมเรียกกันโดยทั่วไปว่า "กำไรสุทธิทางภาษีอากร" ดังนั้น ในกรณีที่ในรอบระยะเวลาบัญชีใดมีผล "ขาดทุนสุทธิทางภาษีอากร" จึงไม่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล นอกจากนี้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลยังสามารถนำผลขาดทุนสุทธิดังกล่าวไปถือเป็นรายจ่ายในรอบระยะเวลาบัญชีปีถัดไปได้ไม่เกิน 5 ปี ตามมาตรา 65 ตรี (12) และตามมาตรา 65 ตรี (19) แห่งประมวลรัษฎากร ยังบัญญัติห้ามมิให้นำรายจ่ายที่กำหนดจ่ายจากผลกำไรที่ได้เมื่อสิ้นรอบระยะเวลาบัญชีมาถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลด้วย
2.ภาษีเงินได้นิติบุคคล จัดเก็บเป็นรายรอบระยะเวลาบัญชี ในการคำนวณกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิ จึงต้องคำนึงไว้เสมอว่า รายได้และรายจ่ายของรอบระยะเวลาบัญชีใด ต้องถือเป็นรายได้และรายจ่ายของรอบระยะเวลาบัญชีปีนั้นๆ และรายจ่ายต้องเป็นรายจ่ายทั้งสิ้นเกี่ยวกับรายได้ หรือเป็นรายจ่ายที่มีความสัมพันธ์กับรายได้ตามหลักการจับคู่ของรายจ่ายกับรายได้ (Matching Principle) รอบระยะเวลาบัญชีโดยทั่วไปมีกำหนดเวลา 12 เดือน เว้นแต่กรณีเริ่มตั้งกิจการใหม่ หรือได้รับอนุมัติจากอธิบดีกรมสรรพากรให้เปลี่ยนแปลงวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี หรือกรณีเลิกกิจการ ควบกิจการหรือโอนกิจการ รอบระยะเวลาบัญชีอาจมีกำหนดเวลาน้อยกว่า 12 เดือนก็ได้
3.ภาษีเงินได้นิติบุคคล เป็นภาษีทางตรง (Direct Tax) ซึ่งผู้เสียภาษีไม่สามารถผลักภาระภาษีที่ตนได้เสียไปยังบุคคลอื่น ฉะนั้น ตามมาตรา 65 ตรี (6) แห่งประมวลรัษฎากร จึงบัญญัติห้ามมิให้นำค่าภาษีเงินได้นิติบุคคลมาถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรหรือขาดทุนสุทธิ และในกรณีที่ในรอบระยะเวลาบัญชีปีใดมียอดภาษีเงินได้นิติบุคคลหัก ณ ที่จ่าย เกิดกว่าจำนวนภาษีที่ต้องเสีย ให้มีสิทธิขอคืนภายใน 3 ปี นับแต่วันสุดท้ายแห่งปีที่ถูกหักภาษีไว้ ณ ที่จ่าย หรือภายใน 3 ปี นับแต่วันสุดท้ายแห่งกำหนดเวลายื่นแบบแสดงรายการภาษี แล้วแต่กรณี
4.ภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นภาษีอากรประเมิน (Assessment Tax) ซึ่งผู้มีหน้าที่เสียภาษี หรือผู้นำส่งภาษีมีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการประเมินตนเอง ตามแบบที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนด และภายในเวลาที่กฎหมายกำหนดเพื่อแสดงว่า มีรายได้ หรือรายรับ และรายจ่ายหรือเครดิตภาษีเป็นจำนวนเท่าใด และเมื่อได้คำนวณภาษีอากรตามหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และอัตราที่กฎหมายกำหนด แล้วคิดเป็นจำนวนเงินภาษีที่ต้องชำระเป็นจำนวนเท่าใด และเพื่อให้การเสียภาษีอากรประเมินของผู้มีหน้าที่เสียภาษีหรือผู้นำส่งภาษีดังกล่าวมีความถูกต้องครบถ้วน ให้เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจประเมินความถูกต้อง ซึ่งเรียกว่า "การประเมินโดยเจ้าพนักงาน" นอกจากนี้ ในการบริหารจัดเก็บภาษีอากรประเมินยังกำหนดหน้าที่อื่นที่ผู้ต้องเสียภาษีอากรและบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องต้องปฏิบัติการเพิ่มเติม ตลอดจนอำนาจเจ้าพนักงานประเมินกรณีต่างๆ การขอคืนภาษีอากร การอุทธรณ์ และบทกำหนดโทษทางอาญาอีกด้วย
5.หลักการจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคล
(1) สำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย ให้สำนักงานใหญ่นำรายได้จากกิจการหรือเนื่องจากกิจการ ทั้งที่ได้กระทำในประเทศไทย และหรือที่ได้กระทำในต่างประเทศมารวมคำนวณกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามประมวลรัษฎากร ตามหลัก World Wide Income (รายได้ที่เกิดขึ้นทั่วโลก) หรือหลักถิ่นที่อยู่ (Residence Rule)
(2) สำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ ให้นำรายได้เฉพาะที่เกิดจากกิจการหรือเนื่องจากกิจการที่ได้กระทำในประเทศไทยเท่านั้น มารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามประมวลรัษฎากร ตามหลักแหล่งเงินได้ (Source Rule) 6.การจัดเก็บภาษีเงินได้จากฐานกำไรสุทธิตามประมวลรัษฎากร เฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการจัดเก็บจากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย กำหนดจัดเก็บภาษีเงินได้เป็น 2 ระดับ คือ ระดับที่หนึ่ง จัดเก็บจากกำไรสุทธิของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นในอัตราร้อยละ 30 ของกำไรสุทธิ และระดับที่สอง จัดเก็บจากเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไรของผู้ถือหุ้นหรือผู้เป็นหุ้นส่วน โดยถือเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(4)(ข) แห่งประมวลรัษฎากร ดังนั้น ในการจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลจากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้น ตามกฎหมายของต่างประเทศจึงต้องจัดเก็บภาษีเงินได้สองระดับเช่นเดียวกัน คือ ระดับแรก จัดเก็บจากกำไรสุทธิที่ได้จากการประกอบกิจการหรือเนื่องจากการประกอบกิจการในประเทศไทย ในอัตราร้อยละ 30 และระดับที่สองกำหนดจัดเก็บจากการจำหน่ายเงินกำไรไปต่างประเทศ ในอัตราร้อยละ 10 ของเงินกำไรที่จำหน่ายไปต่างประเทศอีกระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม การจัดเก็บภาษีจากฐานกำไรสุทธิดังกล่าวมีความซ้ำซ้อน ในการจัดเก็บภาษีอยู่บ้าง ดังนั้น จึงกำหนดให้มีการขจัดความซ้ำซ้อน โดยการให้เครดิตภาษีในอัตราเท่ากับ จำนวนอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นต้องเสีย หารด้วยผลต่างของจำนวนหนึ่งร้อยลบด้วยอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลนั้น ทั้งนี้ สำหรับผู้ที่ได้รับเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไรที่เป็นผู้มีภูมิลำเนาในไทย หรือเป็นผู้อยู่ในไทยถึง 180 วันในปีภาษี โดยให้นำเครดิตภาษีที่ได้รับไปถือเป็นเงินได้พึงประเมินของผู้มีเงินได้ด้วย ตามมาตรา 47 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร และสำหรับความซ้ำซ้อนในการจัดเก็บภาษีจากกำไรสุทธิของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ กระทำโดยการทำอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดความซ้ำซ้อนในการจัดเก็บภาษีระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลของต่างประเทศนั้นๆ
จากหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ คอลัมน์ไขปัญหาภาษี วันที่ 19 พฤษภาคม 2548
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น