ประเด็นความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับภาษีเงินได้นิติบุคคลอีกประเด็นหนึ่ง ที่ไขปัญหาได้รับคำถามบ่อยครั้งว่า
มีนิติบุคคลใดบ้างที่ไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ตามประมวลรัษฎากร จึงขอนำมาเป็นประเด็นปุจฉา-วิสัชนา ดังนี้
ปุจฉา นิติบุคคลใดบ้างที่ไม่มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคล
วิสัชนา ดังที่ได้ทราบแล้วว่า บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ที่มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลนั้น ต้องเป็นไปตามนิยามศัพท์คำว่า "บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล" ตามนัยมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งบัญญัติว่า
"บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หมายความว่า บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย หรือที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ และให้หมายความรวมถึง
(1) กิจการซึ่งดำเนินการเป็นทางค้าหรือหากำไร โดยรัฐบาลต่างประเทศ องค์การของรัฐบาลต่างประเทศ หรือนิติบุคคลอื่นที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ
(2) กิจการร่วมค้า ซึ่งได้แก่กิจการที่ดำเนินการร่วมกันเป็นทางค้า หรือหากำไรระหว่างบริษัทกับบริษัท บริษัทกับห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลกับห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หรือระหว่างบริษัทและหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลกับบุคคลธรรมดา คณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล ห้างหุ้นส่วนสามัญหรือนิติบุคคลอื่น
(3) มูลนิธิหรือสมาคมที่ประกอบกิจการซึ่งมีรายได้ แต่ไม่รวมถึงมูลนิธิหรือสมาคมที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดตามมาตรา 47(7)(ข)
(4) นิติบุคคลที่อธิบดีกำหนดโดยอนุมัติรัฐมนตรี และประกาศในราชกิจจานุเบกษา"
ดังนั้น สำหรับนิติบุคคลอื่นใดนอกเหนือจากตามนิยามศัพท์ดังได้กล่าวข้างต้น จึงมิใช่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามประมวลรัษฎากร และไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล
ทั้งนี้ เว้นแต่อธิบดีกรมสรรพากรจะประกาศกำหนดเพิ่มเติมให้เป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล เพราะฉะนั้น เมื่อนิติบุคคลเหล่านี้มีเงินได้ ก็จะไม่ต้องนำเงินได้ไปคำนวณกำไรสุทธิ เพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล และไม่ต้องถูกหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายแต่อย่างใด
นิติบุคคลที่ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ ได้แก่
1.องค์การของรัฐบาลไทย
"องค์การของรัฐบาล หมายความว่า องค์การของรัฐบาลตามกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งองค์การของรัฐบาล และกิจการของรัฐตามกฎหมายที่จัดตั้งกิจการนั้น และหมายความรวมถึงหน่วยงานธุรกิจที่รัฐบาลเป็นเจ้าของ ซึ่งไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคลด้วย" (มาตรา 2 แห่งประมวลรัษฎากร) จากบทบัญญัติดังกล่าว อาจจำแนกองค์การของรัฐบาล ได้ดังนี้
1.1 องค์การของรัฐบาลตามกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งองค์การของรัฐบาล หมายถึง ส่วนราชการทั้งหลาย ซึ่งได้แก่ กระทรวง ทบวง กรม จังหวัด มหาวิทยาลัยของรัฐ โรงพยาบาลของรัฐ
1.2 กิจการของรัฐตามกฎหมายที่จัดตั้งกิจการนั้น
(1) องค์การบริหารราชการส่วนท้องถิ่น ได้แก่ กรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา เทศบาล องค์การบริหารส่วนจังหวัด องค์การบริหารส่วนตำบล
(2) รัฐวิสาหกิจที่ไม่มีสถานะเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล เช่น การรถไฟแห่งประเทศไทย องค์การทหารผ่านศึก การไฟฟ้า
(3) หน่วยงานธุรกิจที่รัฐบาลเป็นเจ้าของ ซึ่งไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคล เช่น สถานานุเคราะห์ของกรุงเทพมหานคร โรงงานยาสูบ กระทรวงการคลัง องค์การค้าของคุรุสภา นอกจากนี้ กองทุนสวัสดิการของส่วนราชการต่างๆ ก็อนุโลมให้เป็นหน่วยงานธุรกิจที่รัฐบาลตั้งเป็นเจ้าของ ซึ่งไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคลด้วยเช่นเดียวกัน
2.วัดวาอาราม ไม่ว่าศาสนาใด ซึ่งมีสภาพเป็นนิติบุคคล แต่สำหรับสำนักสงฆ์ไม่ถือเป็นนิติบุคคล แต่ก็อาจจะรับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และภาษีมูลค่าเพิ่ม เพราะเป็นกิจการเพื่อศาสนา
3.สภากาชาดไทย
4.สหกรณ์ ไม่ว่าจะเป็นสหกรณ์ร้านค้าหรือสหกรณ์ออมทรัพย์ หรือสหกรณ์การเกษตร อนึ่ง สำหรับกลุ่มเกษตรกรถือเป็นคณะบุคคล ที่มิใช่นิติบุคคล ซึ่งมิใช่สหกรณ์ ดังนั้น หากมีเงินได้พึงประเมินก็อาจต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
5.นิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายอื่นใด เช่น นิติบุคคลตามพระราชบัญญัติอาคารชุด หรือนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาทนายความ สภาสตรีสงเคราะห์แห่งประเทศไทย สภาวิชาชีพบัญชี ฯลฯ
6.มูลนิธิหรือสมาคมที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังประกาศกำหนดให้เป็นองค์การกุศลสาธารณะ ตามมาตรา 47(7)(ข) แห่งประมวลรัษฎากร ได้แก่ มูลนิธิหรือสมาคมที่เมื่อบุคคลธรรมดาหรือห้างหุ้นส่วนสามัญ ที่มิใช่นิติบุคคลบริจาคเงินได้ สามารถนำเงินบริจาคไปคำนวณหักลดหย่อนได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง ตามหลักฐานใบรับ แต่ไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินได้ หลังจากหักค่าใช้จ่าย และค่าลดหย่อนอย่างอื่นแล้ว
อนึ่ง สำหรับมูลนิธิหรือสมาคมที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศนั้น ถือเป็นนิติบุคคลอื่นที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ ซึ่งหากมูลนิธิหรือสมาคมที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศดังกล่าวเข้ามาประกอบกิจการในประเทศไทย ต้องเป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ตามประมวลรัษฎากรเสมอ
7.รัฐบาลต่างประเทศ องค์การของรัฐบาลต่างประเทศ หรือนิติบุคคลอื่นที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ ที่ประกอบกิจการในประเทศไทย แต่มิได้ดำเนินกิจการเป็นทางค้าหรือหากำไร เช่น สถานเอกอัครราชทูต สถานทูต สถานกงสุลใหญ่ สถานกงสุล องค์การสหประชาชาติ ทบวงการชำนัญพิเศษ ของสหประชาชาติ เช่น องค์การยูเนสโก WHO
มีนิติบุคคลใดบ้างที่ไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ตามประมวลรัษฎากร จึงขอนำมาเป็นประเด็นปุจฉา-วิสัชนา ดังนี้
ปุจฉา นิติบุคคลใดบ้างที่ไม่มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคล
วิสัชนา ดังที่ได้ทราบแล้วว่า บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ที่มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลนั้น ต้องเป็นไปตามนิยามศัพท์คำว่า "บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล" ตามนัยมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งบัญญัติว่า
"บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หมายความว่า บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย หรือที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ และให้หมายความรวมถึง
(1) กิจการซึ่งดำเนินการเป็นทางค้าหรือหากำไร โดยรัฐบาลต่างประเทศ องค์การของรัฐบาลต่างประเทศ หรือนิติบุคคลอื่นที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ
(2) กิจการร่วมค้า ซึ่งได้แก่กิจการที่ดำเนินการร่วมกันเป็นทางค้า หรือหากำไรระหว่างบริษัทกับบริษัท บริษัทกับห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลกับห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หรือระหว่างบริษัทและหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลกับบุคคลธรรมดา คณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล ห้างหุ้นส่วนสามัญหรือนิติบุคคลอื่น
(3) มูลนิธิหรือสมาคมที่ประกอบกิจการซึ่งมีรายได้ แต่ไม่รวมถึงมูลนิธิหรือสมาคมที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดตามมาตรา 47(7)(ข)
(4) นิติบุคคลที่อธิบดีกำหนดโดยอนุมัติรัฐมนตรี และประกาศในราชกิจจานุเบกษา"
ดังนั้น สำหรับนิติบุคคลอื่นใดนอกเหนือจากตามนิยามศัพท์ดังได้กล่าวข้างต้น จึงมิใช่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามประมวลรัษฎากร และไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล
ทั้งนี้ เว้นแต่อธิบดีกรมสรรพากรจะประกาศกำหนดเพิ่มเติมให้เป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล เพราะฉะนั้น เมื่อนิติบุคคลเหล่านี้มีเงินได้ ก็จะไม่ต้องนำเงินได้ไปคำนวณกำไรสุทธิ เพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล และไม่ต้องถูกหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายแต่อย่างใด
นิติบุคคลที่ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ ได้แก่
1.องค์การของรัฐบาลไทย
"องค์การของรัฐบาล หมายความว่า องค์การของรัฐบาลตามกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งองค์การของรัฐบาล และกิจการของรัฐตามกฎหมายที่จัดตั้งกิจการนั้น และหมายความรวมถึงหน่วยงานธุรกิจที่รัฐบาลเป็นเจ้าของ ซึ่งไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคลด้วย" (มาตรา 2 แห่งประมวลรัษฎากร) จากบทบัญญัติดังกล่าว อาจจำแนกองค์การของรัฐบาล ได้ดังนี้
1.1 องค์การของรัฐบาลตามกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งองค์การของรัฐบาล หมายถึง ส่วนราชการทั้งหลาย ซึ่งได้แก่ กระทรวง ทบวง กรม จังหวัด มหาวิทยาลัยของรัฐ โรงพยาบาลของรัฐ
1.2 กิจการของรัฐตามกฎหมายที่จัดตั้งกิจการนั้น
(1) องค์การบริหารราชการส่วนท้องถิ่น ได้แก่ กรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา เทศบาล องค์การบริหารส่วนจังหวัด องค์การบริหารส่วนตำบล
(2) รัฐวิสาหกิจที่ไม่มีสถานะเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล เช่น การรถไฟแห่งประเทศไทย องค์การทหารผ่านศึก การไฟฟ้า
(3) หน่วยงานธุรกิจที่รัฐบาลเป็นเจ้าของ ซึ่งไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคล เช่น สถานานุเคราะห์ของกรุงเทพมหานคร โรงงานยาสูบ กระทรวงการคลัง องค์การค้าของคุรุสภา นอกจากนี้ กองทุนสวัสดิการของส่วนราชการต่างๆ ก็อนุโลมให้เป็นหน่วยงานธุรกิจที่รัฐบาลตั้งเป็นเจ้าของ ซึ่งไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคลด้วยเช่นเดียวกัน
2.วัดวาอาราม ไม่ว่าศาสนาใด ซึ่งมีสภาพเป็นนิติบุคคล แต่สำหรับสำนักสงฆ์ไม่ถือเป็นนิติบุคคล แต่ก็อาจจะรับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และภาษีมูลค่าเพิ่ม เพราะเป็นกิจการเพื่อศาสนา
3.สภากาชาดไทย
4.สหกรณ์ ไม่ว่าจะเป็นสหกรณ์ร้านค้าหรือสหกรณ์ออมทรัพย์ หรือสหกรณ์การเกษตร อนึ่ง สำหรับกลุ่มเกษตรกรถือเป็นคณะบุคคล ที่มิใช่นิติบุคคล ซึ่งมิใช่สหกรณ์ ดังนั้น หากมีเงินได้พึงประเมินก็อาจต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
5.นิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายอื่นใด เช่น นิติบุคคลตามพระราชบัญญัติอาคารชุด หรือนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาทนายความ สภาสตรีสงเคราะห์แห่งประเทศไทย สภาวิชาชีพบัญชี ฯลฯ
6.มูลนิธิหรือสมาคมที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังประกาศกำหนดให้เป็นองค์การกุศลสาธารณะ ตามมาตรา 47(7)(ข) แห่งประมวลรัษฎากร ได้แก่ มูลนิธิหรือสมาคมที่เมื่อบุคคลธรรมดาหรือห้างหุ้นส่วนสามัญ ที่มิใช่นิติบุคคลบริจาคเงินได้ สามารถนำเงินบริจาคไปคำนวณหักลดหย่อนได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง ตามหลักฐานใบรับ แต่ไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินได้ หลังจากหักค่าใช้จ่าย และค่าลดหย่อนอย่างอื่นแล้ว
อนึ่ง สำหรับมูลนิธิหรือสมาคมที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศนั้น ถือเป็นนิติบุคคลอื่นที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ ซึ่งหากมูลนิธิหรือสมาคมที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศดังกล่าวเข้ามาประกอบกิจการในประเทศไทย ต้องเป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ตามประมวลรัษฎากรเสมอ
7.รัฐบาลต่างประเทศ องค์การของรัฐบาลต่างประเทศ หรือนิติบุคคลอื่นที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ ที่ประกอบกิจการในประเทศไทย แต่มิได้ดำเนินกิจการเป็นทางค้าหรือหากำไร เช่น สถานเอกอัครราชทูต สถานทูต สถานกงสุลใหญ่ สถานกงสุล องค์การสหประชาชาติ ทบวงการชำนัญพิเศษ ของสหประชาชาติ เช่น องค์การยูเนสโก WHO
จากหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ คอลัมน์ไขปัญหาภาษี วันที่ 19 พฤษภาคม 2548
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น